ย่อมเป็นที่รู้จักอยู่แล้วว่าเนื้อเรื่องของละครอิเหนา แต่เดิมเป็นเรื่องของชวา ได้เข้ามาสู่วงวรรณกรรมและนาฏกรรมของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ว่าเจ้าฟ้าพระราชธิดา 2 พระองค์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศคือเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงมีค่าหลวงเป็นหญิงแขกมลายูเชื้อสายพวกเชลย ที่ได้มาแต่เมืองปัตตานี พวกข้าหลวงแขกเหล่านี้เล่านิทานอิเหนาถวายให้ทรงฟัง เจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ชอบพระหฤทัยจึงทรงแต่งอิเหนาเป็นบทละครขึ้นองค์ละเรื่อง เรียกว่า ดาหลังเรื่อง ๑ อิเหนาเรื่อง ๑ แต่เป็นเรื่องของอิเหนาด้วยกัน คนจึงมักเรียกกันว่าอิเหนาใหญ่เรื่อง๑ อิเหนาเล็กเรื่อง ๑ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เห็นจะหมายความกันในครั้งกรุงเก่าว่าอิเหนาของพระองค์ใหญ่เรื่อง ๑ อิเหนาของพระองค์เล็กเรื่อง ๑ จะหาได้หมายความอย่างอื่นไม่ นักศึกษาทางภาษาและกระแสทางดำเนินมาของวัฒนธรรมต่างก็ตั้งข้อสังเกตด้วยความสงสัยว่าคำว่าชวา ซึ่งใช้กันอยู่โดยปรกติก็ดูมีสำเนียงเป็นอักษรต่ำ แต่เหตุใดเมื่อนำเข้ามาใช้ในบทละคร เรื่องอิเหนา ของเราจึงกลายเป็นสำเนียงอักษรสูงไป เช่นดาลัง เป็น ดาหลัง บุลัน เป็น บุหลัน ดยิวา เป็น ยิหวา เป็นต้น เมื่อปรากฏการณ์ทางภาษามีอยู่ดังนี้ก็ย่อมจะเป็นเครื่องช่วยให้เรามองเห็นทางที่เลือกอิเหนาก่อนจะเข้าสู่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยานั้น ได้ผ่านมาทางทิศและถิ่นใดก่อนซึ่งมีหลายท่าน ได้ตั้งข้อสงสัยอยู่แล้วว่าน่าจะผ่านนครศรีธรรมราชเข้ามาและข้อสงสัยนี้ย่อมเป็นที่ประจักษ์แจ่มชัดขึ้นตามคอดทรงสันนิษฐานของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งทรงสันนิษฐานไว้ว่าผู้ที่นำเรื่องอิเหนาเข้ามาเล่าในกรุงสยามครั้งกรุงเก่านั้น คงจะเป็นคนชวาหรือมลายู แต่คงจะมีล่ามแปลล่ามนั้นน่าจะเป็นชาวมลายูทางปักษ์ใต้ ซึ่งพูดไทยได้เป็นเสียงชาวนอก หรือเป็นคนไทยชาวนอกที่พูดมลายูได้ เหตุฉะนั้นสำเนียง ชื่อเสียงและคำมลายูทั้งปวง ที่ใช้ในเรื่องอิเหนาจึงมีเสียงผันเป็นเสียงชาวนอกด้วย ภาษามลายูก็ดี ชวาก็ดี ไม่มีเสียงผัน ถ้าไม่มีเสียงชาวนอกมาแทรกแล้วชื่อเสียงในหนังสืออิเหนาก็ไม่น่าจะเป็น ใช้เสียงผันดังนั้นตัวอย่าง เช่น ตาฮ่า เป็น ดาหา , สิงคัสซารี เป็นสิงหัศส้าหรี . บายัน เป็น บาหยัน , ว่ายัง เป็น ว่าหยัง , เป็นต้น แต่นี่เป็นการเดาโดยแท้ไม่มีหลักฐานอะไร ประกอบ กระแสพระราชดำริ ดังกล่าวนี้ แม้จะทรงยอมรับว่าเป็นการเดาโดยแท้ไม่มีหลักฐานอะไรประกอบ แต่ก็เป็นข้อทรงสันนิษฐานของท่านผู้รู้ซึ่งปรากฏลายลักษณ์อักษรเป็นรายแรกจึงเท่ากับได้ทรงประทานแนวทาง ให้นักศึกษาผู้ใฝ่ใจทางมา ของวัฒนธรรมเรื่องนี้สอบสวนค้นคว้าหารายละเอียดสืบไป
เมื่อได้นำเรื่องอิเหนามาสร้างเป็นบทละคร คลื่นในภาษาไทยแล้วก็ปรากฏว่าได้รับความนิยมยกย่องเป็นอันมากและเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว ในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงรวบรวมคณะละครของเจ้านครสีธรรมราชเข้ามาในกรุงธนบุรี ก็ได้โปรดให้ฝึกหัดจัดแสดงละครเรื่องอิเหนาตามบทนิพนธ์ครั้งกรุงเก่าเนืองๆ ดังได้กล่าวไว้แล้วในที่อื่นแล้วดังได้กล่าวไว้ในที่อื่นแล้วต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ก็ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้โปรดให้บรรดากวีช่วยกันรวบรวมและแต่งบทละครทั้งเรื่องดาหลังและอิเหนาแล้วทรงตรวจตาแก้ไขตราขึ้นไว้เป็นพระราชนิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ในรัชกาลที่ ๑ นั้นทั้งสองเรื่อง ต่อมาในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละคอน เรื่องอิเหนาขึ้นใหม่ให้เหมาะเป็นอย่างดีแก่การแสดงละครรำ ซึ่งกล่าวกันว่ามีผู้นิยมพระราชนิพนธ์นี้มากมิสู้สนใจในบทพระราชนิพนธ์ครั้งรัชกาลที่ ๑ จึงเป็นเหตุให้ฉบับครั้งรัชกาลที่๑ ขาดหายสาบสูญไปเสียบเกือบหมด ยังคงมีผู้เก็บรักษาไว้ได้เป็นบางตอนซึ่งหอพระสมุดได้เคยรวบรวมฉบับตีพิมพ์ไว้แล้วเมื่อ พ. ศ. 2460 ส่วนบทละครเรื่องอิเหนาพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ปรากฏว่ามีผู้นิยมนำไปใช้เป็นบทละคอนกันตลอดมา แต่ก็มักนิยมเล่นกันไปตามบทจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้างก็เพียงแต่ต่อเติมตัดทอนเพื่อให้เหมาะแก่เวลาและโอกาส ต่อมาในตอนปลายรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงปรับปรุงบทละครเรื่องอิเหนาพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ นั้นเฉพาะบางตอนตั้งแต่ “ตัดดอกไม้ฉายกริช”ถึง “ ท้าวดาหาบวงสรวง” ให้เป็นแบบแห่งการแสดงซึ่งทรงเรียกว่า ละครดึกดำบรรพ์ และทรงฝึกหัดจัดซ้อมคณะละครของท่านเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ ( ม.ร.ว. หลาน กุญชร )ให้นำออกแสดง ณ โรงละคอนดึกดำบรรพ์ ซึ่งบทพระนิพนธ์ที่กล่าวนี้ กรมศิลปากรก็ได้เคยนำออกแสดง ณโรงละครศิลปากรคราวหนึ่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ยังมีตอนหนึ่งซึ่งทรงพระนิพนธ์บทค้างไว้ไม่จบตอนและมิได้นำออกแสดงก็มีเมื่อรัชกาลสมัยรัชกาลที่ ๖ สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมหลวงนครราชสีมา ทรงมีละครส่วนพระองค์อยู่คณะ ๑ เรียกชื่อว่า คณะสวนกุหลาบ ได้ทรงตัดทอนแก้ไขบทละคอนของเก่าและทรงนิพนธ์ปรับปรุงบทให้ กระทัดรัดเหมาะแก่การแสดงในสมัยนั้น แล้วโปรดให้ละคอนคณะสวนกุหลาบของพระองค์แสดงหลายเรื่องหลายตอน ปรากฏว่าละครขณะนี้ได้รับความนิยมยกย่องในทางศิลปะอยู่เป็นอันมาก ในบรรดาบทที่ทรงปรับปรุงแก้ไขไว้นั้นมีเรื่องอิเหนา ซึ่งทรงปรับปรุงขึ้นจากพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ อยู่หลายตอนและกรมศิลปากรได้บทที่ทรงปรับปรุงแก้ไขเหล่านั้นมาพิจารณาเห็นว่า ถ้าได้มีโอกาสนำมาฝึกหัดนักเรียนของโรงเรียนนาฏศิลป์และศิลปินของกรมศิลปากร ให้สามารถแสดงได้ตามบทนั้นๆ ก็จะเป็นทางงอกงามในศิลปะด้านนี้เป็นอย่างดี ทั้งท่านที่จะให้การฝึกหัดและควบคุมการฝึกซ้อมให้เป็นไปด้วยดีก็มีอยู่ คือ หม่อมแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ผู้ซึ่งเคยเป็นศิลปินผู้มีฝีมือมาในสมัยนั้น เมื่อได้นำความคิดเห็นนี้ปรึกษากับ หม่อม แผ้ว สนิทวงศ์เสนี ก็เห็นด้วยและยินดีรับจะช่วยเหลือตามที่กรมศิลปากรมุ่งหมาย ทั้งให้คำแนะนำว่า บทที่ทรงปรับปรุงไว้นั้นอาจเหมาะสมในสมัยนั้นแต่ถ้านำออกแสดงในสมัยนี้ ควรจะได้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขอีกครั้ง เมื่อมีความเห็นร่วมกันจึงตกลงนำเอาบทละครเรื่องอิเหนาตอนซึ่งเรียกว่า “ประสันตาต่อนก” ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมหลวงนครราชสีมาทรงแก้ไขปรับปรุงไว้มาร่วมกันพิจารณาแก้ไขปรับปรุงอีกชั้นหนึ่ง
ในการแก้ไขปรับปรุงใหม่นี้ ก็คงยืนตามบทเดิมที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯกรมหลวงนครราชสีมา ทรงแก้ไขปรับปรุงไว้ เพียงแต่ตัดทอนบางตอนออก เพื่อให้การแสดงกระทัดรัดและเปลี่ยนเพลงร้องกับเพลงหน้าพาทย์บางเพลง กับแทรกการแสดงบางตอนเข้าไว้ตามสมควร ซึ่งเข้าใจกันว่าจะเป็นการส่งเสริมศิลปะให้เป็นที่ชวนดูชวนชมสำหรับท่านผู้ดูโดยทั่วไป และเนื่องจากเปลี่ยนเพลงที่ใช้ในการแสดงหลายเพลง ซึ่งบางเพลงก็มีสำเนียงเป็นแขก และมีสร้อยเพลงเป็นคำภาษาแขกอีกด้วย เนื่องจากใช้ร้องสืบปากต่อคำกันตลอดมาจึงผิดเพี้ยนไป ไม่อาจทราบความหมายและความคำแปลกันได้ ในการปรับปรุงบทใหม่ครั้งนี้จึงแต่งเพลงชวาขึ้นใหม่ สำหรับร้องแทรกเป็นสร้อยแทนของเดิมและบางเพลงก็เปลี่ยนใช้เนื้อร้องเป็นคำชวาตลอดก็มี เช่นเพลงแขกยิงนกใน ( หน้า 14) ในการนี้ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานต์มณี และหม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัฒน์ โปรดแต่งคำชวาประธานโดยตลอด ดังท่านผู้อ่านจะเห็นได้ในบทละคอนฉบับพิมพ์เล่มนี้ ซึ่งนับว่าทรงพระเมตตาแก่กรมศิลปากรเป็นอย่างยิ่ง จึงขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เนื่องจากการปรับปรุงแก้ไขบทละครเรื่องอิเหนาตอน “ประสันตาต่อนก” นี้ กรมศิลปากรได้ถึงบทพระนิพนธ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาซึ่ งได้ทรงปรับปรุงแก้ไขไว้เป็นหลักและได้ปรับปรุงไปตามบทนั้น หากบทที่ปรับปรุงใหม่นี้ก็ดี การแสดงของศิลปากรที่นำออกเสนอแก่ประชาชนก็ดี สามารถอำนวยสาธารณประโยชน์และบันดาลความบันเทิงใจให้แก่ผู้ดูผู้ชม แล้วไซร้ขอน้อมเกล้าอุทิศถวายเป็นมหา กรรมสักการแด่สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นั้น ซึ่งเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ โลกโพ้น
เทอญ.